ทริปแม่ฮ่องสอนครั้งนี้ เราออกเดินทางกันเมื่อวันศุกร์ ที่ 4 พ.ย. - 7 พ.ย. ไปกับเพื่อนสาวอีกคน เป็น 2 สาว ตะลุยเหนือกันเองครั้งแรก


เป็นทริปที่ด่วนมาก เพื่อนแชร์ภาพปางอุ๋งมาหน้าฟีด เราก็เม้นว่า "ไป" ต่างฝ่ายต่างใจง่าย ก็ได้ไปกันจริงๆ

และจัดการจองตั๋ว หาข้อมูลคร่าวๆ ภายใน 1 สัปดาห์ สิ่งแรกที่เราทำเพราะกลัวทริปล่ม คือ จองตั๋วเครื่องบินขากลับ

โชคดีมากที่เราได้ตั๋วโปรมาในราคา 980 บาท จองตั๋วขากลับแล้ว ทริปมันจะล่มก็ให้รู้กันไปป ฮ่าๆๆๆ



เป้าหมายหลักๆ ของทริปนี้คือ ปางอุ๋ง กับ ทุ่งดอกบัวตอง ไปที่นั่นยังไงยังไม่รู้ รู้แค่ว่ามันขับมอไซค์ไปถึง


ที่พักก็ค่อยมาหาเอาดาบหน้าละกัน ส่วนอีกวันก็ไปกางเต้นนอนกันที่ปางอุ๋ง แบกเต้นท์กับถุงนอนไปด้วย ^^



สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริป

ตั๋วขากลับ เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ 980 บาท

ตั๋วขาไป กรุงเทพฯ - แม่ฮ่องสอน 685 บาท

ตั๋วรถตู้ แม่ฮ่อน - เชียงใหม่ 250 บาท

ค่าเช่ามอไซค์ 2 วัน 500 บาท

ที่พักคืนแรก 400 บาท (คนละ 200 บาท)

เติมน้ำมัน 3 ครั้ง 72+110+50 = 232 บาท

ค่ากิน+ของฝาก = ไม่อั้น

รวมๆ ประมาณ 3,000 - 4,000 บาท



ออกเดินทางไปขึ้นรถที่จตุจักร กรุงเทพฯ-แม่ฮ่องสอน มีแค่ 2 เที่ยวเท่านั้นค่ะ คือ 5 โมงเย็น และ 6 โมงเย็น


ขึ้นรถตอน 6 โมงเย็นวันศุกร์ ถึงแม่ฮ่องสอน เช้าวันเสาร์เวลาประมาณ 9 โมงเช้า 15 ชั่วโมงในการเดินทาง!!!

เรานอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะไม่คุ้นกับที่นอนในคืนนี้ เผลอหลับไปรู้ตัวอีกทีก็เข้าจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว

สังเกตและสัมผัสได้ง่ายเลยคือ โค้งเยอะ เยอะมากกกก เยอะจนเราตื่นเพราะรู้สึกคลื่นไส้ กลิ่นห้องน้ำตีขึ้นมาเป็นระยะๆ

ตอนนั้นคิดในใจเมื่อไหร่จะถึงวะ จะอ๊วกแล้ว หันไปเห็นป้ายบอกทาง แม่ฮ่องสอนอีก 100 กว่าโล ตายๆๆ

ตอนนั้นคือเล็งถุงไว้แล้ว ยาดมก็ไม่รู้อยู่กระเป๋าไหน สิ่งที่ช่วยเราไว้ในตอนนั้นคือผ้าห่มค่ะ คือผ้าห่มมันหอมมาก

เราก็สูดกลิ่นผ้าห่มนี่แหละค่ะ ช่วยเราไว้ได้เยอะมาก



แล้วน้องดรีม 125 คันนี้ จะพาเราเที่ยวแม่ฮ่องสอนตลอดทั้งทริปป!!!

Advertisement

อื่นๆ


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รีวิวอื่นๆ ( รีวิวไต้หวัน) สนใจเข้าไปอ่านกันได้นะคะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://pantip.com/topic/35280355



แม่ฮ่องสอนวันที่ 1 ตามหาทุ่งดอกบัวตอง

9 โมงเช้า มาถึงสถานีขนส่งแม่ฮ่องสอน ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย ก็ตกลงกับเพื่อนว่าเราจะนอนแม่ฮ่องสอนก่อนคืนนี้


แล้วอีกวันค่อยไปปางอุ๋งกัน เพราะเราสองคนเองก็ยังไม่รู้จักเส้นทางที่นี่ดีนัก เช้านี้จึงไปหาที่พักกันก่อน

จองที่ไหน ไปยังไงก็ยังไม่รู้ เท่าที่สังเกตรอบๆ ข้าง คือเค้าจะนั่งรถตุ๊กตุ๊กออกไปกัน

พอมีลุงวินแถวนั้นเดินมาพอดี จึงตกลงให้ลุงวินพาไปหาที่พักและร้านเช่า มอไซค์ในเมืองแม่ฮ่องสอนให้



ลุงวินพาเรามาพักที่บุญดีเฮ้าส์ค่ะ โชคดียังมีห้องว่าอยู่


เราเลือกห้องพัดลม 1 คืน ราคา 400 บาท เน้นประหยัดไว้ก่อน ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวแล้ว พัดลมคงเอาอยู่

เราลืมถ่ายภาพที่พักไว้ห้องไว้ มีแค่ภาพหน้าห้องกับแมวบ้านข้างๆ



จากนั้นลุงวินก็พามาเช่ามอไซค์ต่อ เหมือนจะมีอยู่ร้านเดียวในแม่ฮ่องสอนนะคะ เรามองหายังไม่เห็นร้านไหนอีกเลยนอกจากร้านนี้


ราคาเช่า วันละ 250 บาท มัดจำ 1,000 บาท พร้อมบัตรประชาชน ขาไปน้ำมันเต็มถัง วันที่ส่งรถคืนน้ำมันก็ต้องเต็มถึงเหมือนเดิม



ใครยังไม่มีแพลนจะเที่ยวไหนเหมือนเรา ก็คุยกับพี่ร้าน ม.ไซค์ ได้นะคะ เค้าจะแนะนำที่เที่ยวในแม่ฮ่องสอน และให้แผนที่มาด้วย

ซึ่งเส้นทางเที่ยวจะแบ่งเป็น 2 เส้นทางคือ ขึ้นเหนือ (ปางอุ๋ง) กับลงใต้ (ทุ่งดอกบัวตอง)

วันนี้เราเลือกเที่ยวทุ่งดอกบัวตองและเที่ยวในเมืองแม่ฮ่องสอนกันก่อน แล้วพรุ่งนี้จะขับมอไซค์ลงใต้ขึ้นปางอุ๋งกัน

พี่เค้าบอกว่าใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น สำหรับการเดินทางไปทุ่งดอกบัวตอง



หามื้อเช้าทานก่อนออกเดินทาง เห็นแวบๆ แถวๆ ที่พัก ข้าวซอยไก่ ร้านป้านูญ อร่อยดีค่ะ ไม่แพงด้วย



Advertisement

วันแรกเราเป็นคนขับก่อนค่ะ แล้วพรุ่งนี้จะให้เพื่อนขับขึ้นปางอุ๋ง ฮ่าาๆๆๆๆๆๆ


เค้าว่า ทางขึ้นปางอุ๋งจะโหดและชันมากกกกกก ให้เพื่อนขับแล้วกัน



เปิด GPS ให้คนซ้อนเป็นพรายกระซิบบอกทางที่แรกที่เราแวะเลยก็คือ จุดชมวิวผาบ่อง จะเป็นเส้นทางโค้งขึ้นเนินไปยังจุดชมวิว

ขึ้นมาถึงก็จะเจอลานๆ ริมถนน เราจอดมอไซค์ที่นี่แล้วลงไปถ่ายรูปกัน จากจุดชมวิวตรงนี้จะมองเห็นวิวภูเขาและมองเห็นเขื่อนผาบ่องด้านล่างด้วย



เรายังคงขับมอไซค์ไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางใน GPS อีก 60 กว่ากิโล จะถึง อ.ขุนยวม


60 กิโลสำหรับมอไซค์อย่างเรานี่ถือว่าไกลนะคะ ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ต้องยืนขับเป็นระยะๆ เพราะเมื่อยก้น ยังได้สักถึงครึ่งทางเลย เมื่อยแล้วววว



ระหว่างจอดชมวิวข้างทาง ก็ได้พักรถไปในตัว

แม่ฮ่องสอนในวันนั้น อากาศเริ่มหนาวบ้างแล้ว แดดร้อนแต่ลมหัดเย็นสบาย


เราขับมอไซค์มาเรื่อยๆ ตื่นเต้นไปกับวิวทุ่งข้าวโพดแห้งสองข้างทาง

ตัดสินใจแวะที่ทุ่งข้าวโพดแห้งของใครสักคน เจอเจ้าของอยู่ที่นั่นพอดี

จึงขออนุญาติเข้าไปถ่ายรูปกัน เค้าก็คงงงว่ามันจะมาถ่ายรูปอะไรกัน



ถ่ายน้องดรีมเก็บไว้หน่อย



เที่ยงกว่าแล้วยังไม่ถึงสักที แดดเริ่มแรง คอฟฟี่ลิซึ่มในร่างกายเริ่มออกฤทธิ์ ขับผ่านร้านนี้พอดีเลยลองแวะดู


ชื่อร้านห้องนั่งเล่นคาเฟ่ The Living Room Cafe & Friends ขอเอสเปรสโซ่เย็นๆ 1 แก้ว ^^



เจ้าของร้านใจดีบอกเข้าไปถ่ายรูปได้นะ



กลางวันที่ร้านจะเปิดขายกาแฟ พอเย็นๆ ค่ำๆ หน่อยก็จะมีพวกเบียร์ขายด้วย



ออกเดินทางกันต่อค่ะ เข้าสู่ เขตชุมชนตำบลแม่อูคอ 2 ข้างทางเริ่มมีดอกบัวตองให้เห็นแล้ว
แวะถ่ายรูปสักหน่อย จากมุมนี้มองเห็นบ้านเรือนโค้งไปตามถนนและภูเขา
อีกแค่ 10 กิโลเท่านั้นจะถึงทุ่งดอกบัวตองแล้ว เย้!!!!

หลงรักความคดเคี้ยวของภูเขา



ถึงแล้วววว!!!!!! ทุ่งดอกบัวตองที่ตามหา ขับรถกันมา 4 ชั่วโมง



ถึงแม้ว่าดอกยังบานไม่เต็มที่ แต่ที่นี่ก็สวยมาก ลมเย็นสบาย เริ่มมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาบ้างแล้ว


เราจอดรถไว้แล้วรีบเดินไปเก็บภาพทุ่งดอกบัวตองอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนั้นบ่าย 3 โมงแล้ว



ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ ตั้งอยู่ที่ ดอยแม่อูคอ ตำบลแม่อูคอ อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน

จะเริ่มบานช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี



เดินขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ จะยิ่งเห็นวิวที่พาโนราม่ามากขึ้นเรื่อยๆ


เหลืองๆ เขียวๆ ดูรวมๆ แล้วมีสเน่ห์เหลือเกินนนน



เดินขึ้นมาจุดชมวิวที่สูงที่สุด เห็นวิวแบบนี้ก็หายเมื่อย หายเหนื่อยกันเลยทีเดียว



เราอยู่ที่นี่จนถึง 4 โมงเย็น ก็เดินทางกลับกัน เพราะกลัวจะไม่ทันพระอาทิตย์ตกที่วัดพระธาตุดอยกองมู


เค้าบอกว่าจะมีร้านกาแฟชื่อดัง ชื่อร้านก่อนตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผา อยู่ที่นั่น

จิบอะไรเย็นๆ นั่งดูพระอาทิตย์ตก คงมีความสุขไม่น้อยย ^^



ก่อนจะมาถึงทุ่งดอกบัวตอง เจอร้านขายสตรอว์เบอร์รี่ข้างทาง เล็งๆ ไว้ว่าจะแวะตอนขากลับสักหน่อย

ซื้อสตรอว์เบอร์รี่ 1 ถุง 60 บาท แล้วขอลงไปถ่ายรูปที่ไร่สตรอว์เบอร์รี่ด้านหลังด้วย



ว่าที่เจ้าของไร่สตรอว์เบอร์รี่ น้องน่าร๊ากกกก ^^


แวะเติมน้ำมันก่อนลุยยาวๆ


ขับกลับมาถึงแถว ๆ จุดที่เราลงไปถ่ายรูปไร่ข้าวโพดแห้ง เราเห็นป้ายทุ่งดอกบัวตอง 35 กิโล


รีบชี้ให้เพื่อนดู ก็พูดกันว่าหรือเรามาผิดทางวะ ทำไมตรงนี้มีป้ายชี้ไปอีกทางด้วย

พี่ที่ร้านเช่ามอไซค์ก็บอกว่าใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเอง แต่ทำไมเราขับกัน 4 ชั่วโมงเลยวะ หรือเราแวะบ่อย

แต่ก็รีบขับเหอะ พระอาทิตย์จะตกแล้ว ใกล้ค่ำแมลงก็บินชนหน้าเต็มไปหมด



เรามาถึงพระธาตุดอยกองมู ตอน 6 โมงครึ่ง ไม่ทันแล้วจ้าาา พระอาทิตย์ตกไปแล้ว

มิหนำซ้ำร้านก่อนตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผาก็ปิดด้วย ป่อยยยย !

ไปหาไรกินแทนละกัน ไม่ได้ชิลด้วยการดูวิว ให้ได้ชิลเพราะท้องอิ่มก็ยังดี


ปิดท้ายคืนนี้ เดินเล่นที่ถนนคนเดินเมืองแม่ฮ่องสอนต่อ

จะอยู่หน้าหน้าวัดจองกลางและวัดจองคำ (ใกล้ร้านเช่ามอไซค์เลย)

เปิดขายกันตั้งแต่หกโมเย็นไปจนถึงราวสี่ทุ่ม



สิ่งที่ผิดแผนอย่างใหญ่หลวงในทริปนี้คือ
ตอนไปจองตั๋วรถตู้ขากลับไปเชียงใหม่เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
ปรากฏว่ารถตู้ใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง เพื่อเดินทางจากแม่ฮ่องสอนไปเชียงใหม่
ฉะนั้นจะเหลือแค่วันที่ 2 เท่านั้นที่เราจะเที่ยวในแม่ฮ่องสอนได้เต็มที่
เพราะในวันที่ 3 เราต้องลงจากปางอุ๋งแล้วขึ้นรถไปเชียงใหม่ตอน 11 โมง
พลาดที่ไม่ได้เช็คเวลามาล่วงหน้า เห็นจังหวัดติดกันก็เลยนึกว่าแค่ 2-3 ชั่วโมง รู้สึกเศร้าาาาใจ

แม่ฮ่องสอนวันที่ 2 แบกเต้นไปนอนที่ปางอุ๋ง

วันนี้เราตัดสินใจกันว่าจะออกตั้งแต่ 6 โมงเช้า จะเที่ยวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยฝากกระเป๋า 1 ใบไว้ที่หน้าร้านเช่ามอไซค์ (ร้านยังไม่เปิดแต่โทรแจ้งเจ้าของร้านแล้ว) และเอาขึ้นปางอุ๋งไปแค่ 1 ใบ
คิดไว้ว่าถ้าขนไปหมด อาจไม่มีที่เหลือให้คนนั่ง แถมรวมๆ น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อย ฮ่าๆๆๆๆ
ฉะนั้น คุณไม่ได้ไปต่อ รอพี่อยู่ที่ร้านเช่ามอไซค์นะ

ตักบาตรที่สะพานซูตองเป้ อาศัย GPS นำทางเช่นเคย สะพานซูตองเป้อยู่ห่างจากเมืองแม่ฮ่องสอน ประมาณ 10 กิโลกว่าๆ


เราขับมอไซค์มาถึงตอน 7 โมงเช้า รีบมาให้เร็วที่สุดเพราะกลัวไม่ทันตักบาตรเช้า ขณะกำลังขับรถเข้าไปจอด

พระท่านก็เดินสวนมอไซค์ที่เราขับเข้ามาพอดี คิดในใจ อ้าววว ไม่ทันอีกแล้ว

แต่ชาวบ้านที่นั่นเค้าบอกว่าเดี๋ยวพระท่านจะต้องเดินกลับวัดทางนี้อีก ประมาณ ครึ่งชั่วโมง นั่งรอได้เลย



เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา สั่งข้าวต้มมาทานกันเถอะค่ะ


เก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อยๆ ระหว่างรอ


ไม่นานนักพระท่านก็เดินกลับมาค่ะ ใครที่ไม่ได้เตรียมของใส่บาตรมา ที่นี่ก็มีขายนะคะ


8 โมงเช้าวันนี้ยังคงมีหมอก เราออกเดินทางกันต่อ


สถานที่ต่อไปเราจะแวะไปเรื่อยๆ ในที่ที่เราอยากแวะ จนถึงคือปางอุ๋งนั่นเอง

ระหว่างทางไปปางอุ๋งผ่านชุมชนบ้านห้วยขาน


เห็นวิวทุ่งนากับภูเขาที่มีหมอกอยู่ไกลๆ ก็อดใจที่จะแวะเก็บภาพไม่ได้

ผ่านบ้านห้วยขานไป เส้นทางจะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เราจะขับขึ้นเขากันแล้ว


ใช้เวลาไม่นาน เราขับมาไซค์มาถึงน้ำตกผาเสื่อ อ้าววววแวะะะะะเหมือนเดิม



น้ำตกผาเสื่อไม่เก็บค่าเข้าค่ะ แค่ลงชื่อให้พี่ป่าไม้เท่านั้นก็เดินเข้าไปได้เลย ดูเหมือนเช้านี้จะมีนักท่องเที่ยวแค่เรา 2 คน


ซึ่งน้ำตกผาเสื่อ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติถ้ำปลา – น้ำตกผาเสื่อ ไหลลงมาจากน้ำตกแม่สะงาในพม่ามี 6 ชั้น และมีน้ำตลอดปี

สอบถามจากเจ้าหน้าที่เค้าบอกว่าช่วงนี้น้ำน้อยหน่อย เพราะต้องกักเก็บน้ำไว้ผลิตไฟฟ้า

อยากได้กลับบ้านสักอัน แต่ไม่มีมือถือแล้ว


ถามทางจากพี่ป่าไม้ไปปางอุ๋ง เค้าบอกไม่ไกลแล้ว จะมีทางแยกข้างหน้า ทางนึงไปปางอุ๋ง อีกทางไปบ้านรักไทย


ไม่ไกลจากที่พี่ป่าไม้บอก เราแวะเติมน้ำมันอีกรอบ รอบนี้เต็มถัง 110 บาท เราเลือกไปเที่ยวหมู่บ้านรักไทยก่อน

เจอวิวสวยๆ ข้างทางอีกแล้ว จุดนี้จะมองเห็นบ้านเรือนของชุมชนบ้านนาป่าแปกที่อยู่ตามภูเขา


แล้วเราก็มาถึงบ้านรักไทย เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนาน ประชาการส่วนใหญ่อพยพมาจากทางตอนใต้ของจีนในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบคอมมิวนิสต์ ภายในหมู่บ้านมีทะเลสาบขนาดใหญ่

อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็จะเป็นพวกอาหารต้นตำรับจีนยูนาน ชา หมั่นโถว แต่ที่เราได้ลองชิมก็เป็นพวกชาแล้วก็ซาลาเปา


ตรงถนนทางเข้าบ้านรักไทยจะมีร้านชาให้ชิมหลายร้าน ชิมฟรี ถ้าชอบก็ซื้อกลับบ้านได้ค่ะ

ตรงข้ามร้านที่เราเข้าไปชิมชากัน จะมีบะนได้ขึ้นไปชมภาพวิวมุมสูงมองเห็นทะเลสาบทั้งหมดด้วย


เที่ยงแล้วคอฟฟีลิซึ่มเริ่มออกฤทธิ์เช่นเคย เราแวะที่ร้าน Coffee Camp อยู่ระหว่างทางบ้านนาป่าแปกไปหมู่บ้านรักไทย


วันนี้เราสั่งเอสเปรสโซ่เหมือนเดิม เอสที่นี่จะใส่ไซรัป ไม่ใส่นม


เป็นเอสที่กินแล้วรู้สึกอร่อยที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ รสชาติดีมากกกก บรรยากาศในร้านก็ดีมากเช่นกัน

เดินทางไปยังปางอุ๋งกันต่อ อย่างที่เค้าบอกมาจริงๆ ว่าทางขึ้นปางอุ๋งจะชันมากกก โค้งหักศอกเยอะมาก


บางเนินนี่เกียร์ 3 เกียร์ 4 แทบไม่ได้ใช้ ตบเกียร์ 1 เกียร์ 2 ไปมาอย่างเดียว ไม่นานนักเราก็มาถึงปางอุ๋งอย่างปลอดภัย

จับจองที่พัก กางเต้นท์อะไรเรียบร้อยเราก็ออกมาหาอะไรกินที่หมู่บ้านรวมไทยหน้าทางเข้าปางอุ๋งค่ะ

เพื่อนแนะนำมาว่าให้มาชิมยำใบชาที่นี่ ซึ่งลุงปาละเป็นชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง ย้ายมาอยู่หมู่บ้านรวมไทยเป็นหลังแรก


สมัยเริ่มต้นโครงการหลวงปางอุ๋ง ในปี 2528 โดยเริ่มปลูกกาแฟจากการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรที่สูง จ.แม่ฮ่องสอน

จนเป็นแบบอย่างให้เกษตรกรหรือผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาหาความรู้

เอกลักษณ์อีกอย่างของที่นี่คือต้นไผ่ขนาดยักษ์


มื้อเที่ยงวันนี้ ข้าวไข่เจียวหมูสับ ข้าวผัดแหนม และยำใบชาค่ะ


ยำใบชาอร่อยจริงๆ ^^

แมวบ้านลุงปาละ


กินเสร็จจ่ายตังค์


อีกนานเลยกว่าจะค่ำ เราตัดสินใจว่าจะขับรถเล่นแถวๆ นี้แล้วกัน ขับรถมาที่บ้านห้วยมะเขือส้ม


เจอป้ายติดไว้ว่าสตรอว์เบอร์รี่ แวะถามสักหน่อย ว่ามีขายมั้ยคะ พี่สาวใจดีบอกว่าไม่มีแล้ว แต่ถ้าจะซื้อรอได้มั้ย จะเก็บให้

พวกเราก็โอเคค่ะ รอได้ และลงไปช่วยเก็บด้วย

พี่สาวใจดีบอกเราว่า ปกติจะขายให้กับนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมาที่นี่แหละ


ครึ่งกิโล 200 บาท แต่ปกติจะเก็บกันช่วงเช้า

พี่สาวคนสวยเล่าต่อว่า ปลูกปีนี้ ได้กินอีกทีปีหน้านู่นน แถมตอนนี้ลูกมันยังเล็ก เพราะอากาศยังไม่หนาว


แต่ถ้าอากาศหนาวแล้ว ลูกมันจะใหญ่ขึ้นกว่านี้อีก

กองนี้กินได้ ลูกมันไม่สวยเลยจะเก็บไว้กินเอง ^^


ตกเย็นแล้วถ่ายรูปมาทั้งวัน แบตกล้องใกล้จะหมด เราจึงกลับไปยังปางอุ๋ง


แต่ก่อนถึงหมู่บ้านรวมไทย ก็แวะอีกสักรอบ ต้นสนแถวนี้มองๆ ไป ก็สวยดีนะ

ผลัดกันถ่าย สถาพหน้าก็ป่วยๆ กันไป

จะสดชื่นอะไรปานนั้น


เข้าหมู่บ้านรวมไทยแวะซื้อของกินเล็กๆ น้อย ก่อนกลับไปที่เต้นท์ เตรียมตัวอาบน้ำก่อนที่น้ำจะเย็นไปมากกว่านี้


ค่อยออกมาทานข้าวเย็นที่หมู่บ้านรวมไทย แล้วกลับไปนั่งรับบรรยากาศลมหนาวที่เต้นท์

เราแบกขาตั้งกล้องมากจากกรุงเทพฯ ตั้งใจจะมาถ่ายดาวที่นี่ คืนนี้ดาวสวยแล้วเยอะมากก


แต่ความอยากถ่ายดาวก็ไม่สามารถสู้ความง่วงของเราไปได้ จึงขอเก็บภาพดวงดาวคืนนี้ไว้ในความทรงจำของเราแทน

เราหลับไปตอน 3 4 ทุ่ม ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้ของให้มีหมอกเยอะๆ จะตื่นตี 5 ครึ้งมานั่งรอหมอกเลย

และแน่นนอนว่าหลับไม่สนิท เพราะที่ที่เรากางเต้นท์มันลาดเอียงค่ะ คือง่วง ขี้เกียจย้ายแล้ว

ตอนนอนนี่แทบจะไหลมากองรวมกันตรงหน้าประตู ตื่นมานี่ปวดหลังมาก ฮ่าๆๆๆๆๆ

แม่ฮ่องสอนวันที่ 3 ลาก่อนปางอุ๋ง เดี๋ยวตกรถ

เราตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง แต่ยังมืดอยู่ค่ะ แสงเริ่มมาตอน 6 โมงกว่าๆ เราก็ออกมาถ่ายรูปกัน


ตอนเช้าจะมีพระมาบิณฑบาตที่ และมีชาวบ้านมาขายของตักบาตรด้วยค่ะ

มีหมอกยามเช้าลอยอยู่บนผิวน้ำ



แสงแดดเริ่มส่องแล้ววววว



หงษ์พระราชทาน



ถ่ายรูปสักพัก 7 โมงเช้าเราก็ทะลายเต้นท์รีบเก็บของ เพื่อกลับไปยังแม่ฮ่องสอน ให้ทันรถไปเชียงใหม่ตอน 11 โมง



มาถึงไร่สตอเบอรี่เมื่อวาน มีหมอกเยอะมากกก ไม่ลืมที่จะแวะถ่ายรูปเก็บไว้ ยังชิลอยู่



หมอกยังมีเรื่อยๆ ตามเส้นทางกลับ


ขับไปเรื่อย เวลา 8 โมงครึ่ง เห็นป้ายร้านกาแฟอยู่ใกล้ๆ ก็ตัดสินใจแวะทานกันหน่อยค่ะ เพราะยังมีเวลาอยู่ค่ะ


ชื่อร้าน “ช้างไทย" Coffee ผู้พิชิต “พันโค้งทะเลหมอก" ร้านกาแฟที่ติดกับวิวทุ่งนาและภูเขาที่สวยมากกก



ให้เวลาซึมซับบรรยากาศยามเช้าครึ่งชั่วโมง นั่งจิบกาแฟมองวิวทุ่งนาท่ามกลางทะเลหมอกที่ลอยอยู่ตามวิวภูเขา



มีของที่ระทึกขายด้วย



เรามาถึงเช้าเกิน เค้ายังเตรียมร้านยังไม่เสร็จ



ถึงแม่ฮ่องสอนอย่างปลอดภัย คืนมอไซค์ที่เช่ามาเรียบร้อย เราไม่ได้เติมน้ำมันให้เต็มถัง ที่ร้านเค้าคิด 50 บาทค่ะ


ขอทางร้านอาบน้ำ ร้านใจดีให้เสื่อเรามาปูนั่งหน้าห้องน้ำเลย จนสิบโมงก็แต่งตัวเก็บข้าวของทุกอย่างเสร็จ

11 โมง รถตู้จะมารับเราที่หน้าไปรษณีย์ค่ะ มีเวลาอีก 1 ชั่วโมง ก็หาข้าวเช้ากินกัน

ข้างๆ ไปรษณีย์มีร้าน 77 house's Wine , Coffee and Food ร้านสวยมากกก อาหารก็ไม่แพงค่ะ

เราสั่งข้าวกับผัดเปรี้ยวหวาน เป็นโปรโมชั่นรวมน้ำบลูเบอร์รี่ปั่น ราคา 120 บาท



น่าเสียดายที่เรามีเวลาอยู่ที่แม่ฮ่องสอนไม่กี่วัน แต่แค่ไม่กี่วันก็ทำให้เราหลงรักที่นี่ เมืองที่เงียบสงบ ไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ


ผู้คนน่ารักใจดีและเป็นมิตร ยังมีอีกหลายทีเลยที่ไม่ได้ไปและไปไม่ทัน มีโอกาสคราวหน้าเราจะกลับมาที่นี่อีกให้ได้



ส่งท้ายการเดินทางครั้งนี้

" การท่องโลกด้วยปากอาจทำให้เราจำได้ยาว

แต่การท่องโลกด้วยเท้าจะทำให้เราไม่มีวันลืม "

| จากหนังสือ เดิน ข้าง เขา หนาวข้างเธอ |



ความคิดเห็น